
ถ้าน้อง ๆ กำลังคิดอยากไป Work and Travel USA เชื่อว่าคำถามในใจมีเต็มไปหมดแน่นอน ทั้งเรื่องเงิน เรื่องงาน เรื่องที่พัก และที่สำคัญที่สุดคือ “จะเลือกเอเจนซี่ไหนดี?”
เพราะเอเจนซี่คือคนที่จะคอยดูแลตั้งแต่เริ่มสมัคร ไปจนถึงตอนที่น้องใช้ชีวิตจริงที่อเมริกาเลยนะครับ เลือกผิดอาจปวดหัว แต่ถ้าเลือกถูก บอกเลยว่าประสบการณ์ Work and Travel จะกลายเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตเลยทีเดียว
1. ค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดเท่าไหร่? มีค่าใช้จ่ายแอบแฝงหรือไม่
นี่คือคำถามอันดับ 1 ที่พลาดไม่ได้เลย เพราะแต่ละเอเจนซี่คิดค่าใช้จ่ายไม่เหมือนกัน และบางที่อาจไม่บอกรายละเอียดทั้งหมดตั้งแต่แรก
ค่าใช้จ่ายหลัก: ค่าสมัคร, ค่าโปรแกรม, ตั๋วเครื่องบิน, ค่าวีซ่า, ค่า SEVIS, ค่าประกันสุขภาพ
ค่าใช้จ่ายแอบแฝง: ค่าที่พักเดือนแรก/มัดจำ, ค่าดำเนินการเล็ก ๆ น้อย ๆ, ค่าประกันเสริม ฯลฯ
พี่แนะนำว่าอย่าเอาตัวเลขที่เอเจนซี่โฆษณามาดูแค่คร่าว ๆ ให้ขอ ใบรายการค่าใช้จ่ายแบบละเอียด (Breakdown) ไปเลย จะได้เห็นชัดว่าต้องใช้เงินทั้งหมดกี่บาทจริง ๆ
2. เอเจนซี่มีประสบการณ์และความน่าเชื่อถือแค่ไหน
เอเจนซี่คือ “กุญแจสำคัญ” ของการไปครั้งนี้ ถ้าเลือกผิดอาจเจอปัญหาตั้งแต่สมัครยันกลับไทย
สิ่งที่ควรเช็ก:
เปิดดำเนินงานมากี่ปีแล้ว ยิ่งนานยิ่งน่าเชื่อถือ
รีวิวจากรุ่นพี่ที่เคยไป (ทั้งรีวิวบนเพจและจากปากต่อปาก)
ได้รับการรับรองจาก สปอนเซอร์ในอเมริกา (เพราะสปอนเซอร์คือผู้ดูแลโครงการฝั่งโน้น)
มีออฟฟิศจริง ไม่ใช่แค่เพจออนไลน์
ถ้าเอเจนซี่มั่นคง มีคนไปจริงทุกปี น้องก็มั่นใจได้ว่าไปแล้วจะไม่ถูกทิ้ง
3. ตำแหน่งงานและสถานที่ทำงานมีอะไรบ้าง
ตำแหน่งงานคือหัวใจของโครงการนี้เลย น้องต้องถามว่า “ปีนี้มีงานอะไรบ้าง?” เช่น
งาน Theme Park → ได้ฝึกภาษาและเจอเพื่อนใหม่เยอะ
งานร้านอาหาร/ฟาสต์ฟู้ด → ทำงานง่ายแต่เหนื่อยเป็นรอบ ๆ
งานรีสอร์ท/โรงแรม → ได้ฝึก Service Mind และภาษา
งาน Outlet → เจอคนหลากหลาย ได้ภาษาเต็ม ๆ
นอกจากนี้อย่าลืมถาม รัฐและเมือง ที่ทำงานอยู่ เพราะ
เมืองใหญ่ = ค่าครองชีพสูง แต่โอกาสทำโอทีเยอะ
เมืองเล็ก = ค่าใช้จ่ายถูกกว่า แต่บางทีหา Second Job ยาก
ตรงนี้สำคัญเพราะมันกระทบทั้ง รายได้-รายจ่าย ของน้องโดยตรง
4. ที่พักเป็นแบบไหน ใครเป็นผู้จัดหา
ที่พักจะเป็นบ้านหลังที่สองของน้องหลายเดือน ควรถามละเอียดว่า:
ที่พักรวมในแพ็กเกจหรือจัดหาเอง
ค่าเช่าต่อเดือนเท่าไหร่ รวมค่าน้ำไฟหรือยัง
ต้องวางมัดจำไหม (ส่วนใหญ่ 100–200 USD)
อยู่กับใครบ้าง (เพื่อนไทย เพื่อนต่างชาติ หรือรวม ๆ กัน)
ถามล่วงหน้าเพื่อจะได้คำนวณค่าใช้จ่าย และเตรียมใจเรื่องการปรับตัวอยู่กับเพื่อนร่วมห้อง
5. ขั้นตอนการสมัครและการสัมภาษณ์งาน
หลายคนพลาดตรงนี้เพราะคิดว่าสมัครง่าย ๆ แต่จริง ๆ มีกระบวนการชัดเจน
สิ่งที่ควรถามคือ:
ต้องสมัครล่วงหน้ากี่เดือน (ปกติ 6–8 เดือนก่อนเดินทาง)
เอเจนซี่มี Workshop ซ้อมสัมภาษณ์ไหม
ถ้าไม่ผ่านงานแรก จะมีงานสำรองให้เลือกหรือไม่
ถ้าไปไม่ได้จริง ๆ เอเจนซี่มีนโยบายคืนเงินบางส่วนหรือไม่
เอเจนซี่ที่ดีจะมี “แผนสำรอง” ไม่ปล่อยให้น้องติดค้าง
6. การช่วยเหลือเรื่องการทำวีซ่า
วีซ่า J-1 คือตัวชี้ชะตาเลย ถ้าไม่ผ่าน = ไปไม่ได้
ถามเลยว่า:
เอเจนซี่ช่วยตรวจเอกสารทุกอย่างให้ไหม
มีการติวซ้อมสัมภาษณ์ก่อนจริงไหม
ถ้าไม่ผ่าน จะได้คืนเงินบางส่วน หรือเก็บสิทธิ์ไว้ปีหน้าได้หรือเปล่า
เอเจนซี่ที่ดูแลจริงจะทำให้น้องมีโอกาสผ่านสูงขึ้น และไม่รู้สึกว่าต้องเสี่ยงเกินไป
7. รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงและโอกาสทำโอที
การไป Work and Travel ส่วนใหญ่ทุกคนก็อยากเก็บเงินกลับมาใช่ไหมครับ?
ควรถามว่า:
ค่าแรงเริ่มต้นต่อชั่วโมงเท่าไหร่ (10–15 USD โดยเฉลี่ย)
มีโอที (Overtime) หรือ Second Job ไหม
รายได้ที่แจ้งมานั้นเป็น ก่อนหักภาษี (Before Tax) หรือ หลังหักภาษี (After Tax)
จุดนี้สำคัญเพราะภาษีหักเยอะพอสมควร ถ้าไม่ถามให้ชัด อาจทำให้เก็บเงินไม่ตรงเป้าที่วางไว้
8. การดูแลระหว่างอยู่ที่อเมริกา
ไปถึงแล้วถ้าเจอปัญหาจะทำยังไง? ต้องเช็กว่าเอเจนซี่มีระบบดูแลหรือไม่ เช่น
มี Hotline 24 ชั่วโมงให้โทรไหม
ถ้าโดนเลิกสัญญา เอเจนซี่ช่วยหางานใหม่หรือเปล่า
มี Staff ของเอเจนซี่อยู่ในอเมริกาหรือไม่
ถ้าเอเจนซี่มีคนดูแลจริง ๆ น้องก็จะไม่รู้สึกโดดเดี่ยว
9. มีการจัดเตรียม Orientation หรือ Training ไหม
การบินไปใช้ชีวิตต่างประเทศครั้งแรกย่อมมีความกังวล ดังนั้นควรถามว่าเอเจนซี่มี Orientation ก่อนบินหรือไม่ เช่น
ปูพื้นฐานเรื่องวัฒนธรรมอเมริกัน
การทำ SSN (Social Security Number)
วิธีเปิดบัญชีธนาคาร
วิธีทำ Tax Refund
สิ่งเหล่านี้จะทำให้น้องพร้อมใช้ชีวิตจริงได้ทันทีที่ไปถึง
10. หลังจากกลับมา เอเจนซี่มีบริการอะไรต่อ
โครงการ Work and Travel ไม่ได้จบแค่กลับถึงไทย ยังมีเรื่องสำคัญต่อเนื่องอีก เช่น
การช่วยยื่น Tax Refund เพื่อขอคืนเงินภาษีที่ถูกหักไป
การออก Certificate ยืนยันประสบการณ์ทำงาน
คำแนะนำต่อยอดไปโครงการอื่น ๆ เช่น Internship USA หรือ Au Pair
เอเจนซี่ที่ดูแลต่อหลังกลับไทย แปลว่าเค้าไม่ได้คิดแค่พาเราไป แต่ดูแลครบวงจร
Q: ต้องใช้เงินเก็บเท่าไหร่ถึงจะไปได้?
A: โดยทั่วไปควรเตรียมงบประมาณ 120,000 – 150,000 บาท สำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดตั้งแต่เริ่มสมัครจนถึงเดินทางจริง ตัวเลขนี้รวมทั้ง ค่าโครงการ ค่าวีซ่า ตั๋วเครื่องบิน ค่าประกันสุขภาพ และเงินสำรองก่อนเริ่มทำงาน แต่จำนวนที่แน่นอนขึ้นอยู่กับเอเจนซี่ที่เลือกและเมืองที่ไปทำงาน
👉 ทริคพี่ ๆ แนะนำ:
ถ้าเลือกเมืองใหญ่ เช่น New York, California ค่าใช้จ่ายช่วงแรกจะสูงกว่าพอสมควร ทั้งค่าที่พักและค่าครองชีพ
ถ้าเลือกเมืองเล็ก ค่าใช้จ่ายถูกกว่า แต่บางครั้งโอกาสทำงานพิเศษ (Second Job) ก็อาจน้อยกว่า
เงินสำรองที่ควรมีติดตัว: อย่างน้อย $1,000 – $1,500 (35,000 – 50,000 บาท) สำหรับค่าที่พัก ค่ากิน และค่าเดินทางในเดือนแรกก่อนจะได้รับเงินเดือนแรก
Q: ภาษาอังกฤษไม่เก่งมาก ไปได้ไหม?
A: ได้แน่นอน! ไม่จำเป็นต้องพูดคล่องเหมือนเจ้าของภาษา ขอแค่ พอสื่อสารในชีวิตประจำวันได้ เช่น การทักทาย การบอกข้อมูลส่วนตัวง่าย ๆ หรือการรับออเดอร์จากลูกค้า
เอเจนซี่ส่วนใหญ่มีการติวและ Workshop ช่วยน้อง ๆ เตรียมตัวสัมภาษณ์งานกับนายจ้างและสถานทูต รวมถึงการซ้อมบทสนทนาที่ต้องใช้จริงเวลาไปทำงาน
พี่แนะนำ:
ถ้าอยากอุ่นใจก่อนบิน ลองฝึกบทสนทนาเบื้องต้น เช่น การแนะนำตัวเอง, การถามเส้นทาง, การสั่งอาหาร
การทำงานจริงจะทำให้น้องได้พัฒนาภาษาแบบก้าวกระโดด เพราะต้องใช้ทุกวัน ทั้งกับเพื่อนร่วมงานและลูกค้า
Q: ไป Work and Travel จะคุ้มไหม?
A: คุ้มแน่นอน ถ้าน้องตั้งใจไปเพื่อทั้งทำงานและเรียนรู้ ไม่ใช่ไปเที่ยวอย่างเดียว เพราะได้ประโยชน์หลายด้านพร้อมกัน:
ประสบการณ์ชีวิตจริง ในต่างแดน (เรียนรู้การทำงานจริง, การอยู่ร่วมกับคนต่างชาติ)
รายได้กลับมาเป็นกอบเป็นกำ (บางคนเก็บเงินกลับมาได้ 50,000 – 100,000 บาท ขึ้นอยู่กับงานและโอที)
พัฒนาภาษาอังกฤษ แบบใช้งานจริงทุกวัน
โอกาสท่องเที่ยว ได้เห็นเมืองและวัฒนธรรมใหม่ ๆ ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
แต่ “คุ้ม” จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อน้องเลือกเอเจนซี่ที่น่าเชื่อถือ เพราะจะช่วยลดปัญหาค่าใช้จ่ายบานปลาย หรือการไม่ได้งานที่ตรงตามที่สัญญาไว้
Q: หลังจบงานสามารถเที่ยวต่อได้ไหม?
A: ได้เลย วีซ่า J-1 จะอนุญาตให้น้อง ๆ อยู่ต่อได้อีก 30 วัน หลังจบสัญญาทำงาน เพื่อใช้เป็นเวลาท่องเที่ยวในอเมริกา
ตัวอย่างที่คนชอบทำกัน:
Road Trip เที่ยวเมืองใหญ่ เช่น New York, Los Angeles, Las Vegas
ไป National Park ที่ดัง ๆ เช่น Grand Canyon, Yellowstone
ไปช็อปปิ้งที่ Outlet ดัง ๆ ก่อนกลับไทย
ข้อควรรู้:
ช่วงนี้น้องจะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานแล้ว (Work Period จบไปแล้ว) แต่สามารถท่องเที่ยวได้เต็มที่
ควรวางแผนค่าใช้จ่ายล่วงหน้า เพราะเที่ยว 30 วันก็มีกิน-อยู่-เดินทางเพิ่ม
การไป Work and Travel USA ไม่ใช่แค่การทำงานชั่วคราว แต่มันคือการลงทุนในประสบการณ์ชีวิต ที่ช่วยให้น้อง ๆ เติบโตทั้งด้านภาษา ความมั่นใจ และการมองโลกกว้างขึ้น
ถ้าน้อง ๆ กำลังมองหาเอเจนซี่ที่ไว้ใจได้ ดูแลครบทุกขั้นตอน New Step Thailand คือคำตอบที่ไม่ควรพลาด พี่ ๆ พร้อมจะช่วยให้น้อง ๆ เดินทางอย่างมั่นใจ และเก็บเกี่ยวความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิต
📌 สมัครโครงการ Work and Travel USA 2026 กับ New Step วันนี้
เตรียมเก็บกระเป๋าไปเปิดประสบการณ์ใหม่ พร้อมความมั่นใจว่ามีทีมงานมืออาชีพดูแลทุกขั้นตอน
เพราะ Work and Travel USA สำหรับน้อง ๆ คือจุดเริ่มต้นของอนาคตที่ไร้ขีดจำกัด!
สนใจสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับ Work and Travel USA
ติดต่อ พี่ ๆ News Step ได้ทุกช่องทาง
LINE: @newstepworktravel
❓ FAQ รวมคำถามยอดฮิตจากน้อง ๆ ที่กำลังจะไป Work and Travel USA 2026 ปีหน้า
5 สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนสมัคร Work and Travel 2026 สำหรับน้อง ๆ ที่ไม่เคยไป Work and Travel USA
ROI ของโครงการ Work and Travel: ลงทุนเท่าไร ได้กลับมาเท่าไร
แนะนำงาน Job Fair ของชาว Work and Travel
เที่ยวก็ได้ ทำงานก็ได้เงิน! ทำไม Work and Travel USA ถึงคุ้มสุดในวัยเรียน
เคล็ดลับการเสริมดวงและเรียกโชคลาภระหว่างทำงานในโครงการ Work and Travel
Copyright 2024 © by New Step Exchange Program. All rights reserved.